ท่ามกลางกระแสเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่หลากหลาย คอมบูชา (Kombucha) กลายเป็นดาวเด่นที่ครองใจผู้คนทั่วโลกด้วยรสชาติเปรี้ยวซ่า ชื่นใจ เต็มไปด้วยประโยชน์ต่อร่างกาย แต่รู้หรือไม่ว่าคอมบูชามีประวัติศาสตร์มายาวนาน มาย้อนดูเส้นทางของคอมบูชาผ่านงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์กันว่าเคยโด่งดัง เฟื่องฟู เป็นที่นิยมอีกครั้งได้อย่างไร หากยังไม่ได้อ่านตอนแรก ประวัติศาสตร์คอมบูชา
คอมบูชาในรัสเซีย
ในปี 1913 รัสเซียเป็นประเทศแรกที่กล่าวถึงคอมบูชาในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โดยนักวิจัย A.A. Bachinskaya นักชีววิทยาชาวรัสเซียท่านนี้ได้ศึกษาตัวอย่างจากหลายพื้นที่ในรัสเซีย บทความของเธอยังได้อธิบายลักษณะของscobyด้วย
ในขณะนั้น คอมบูชาถูกบริโภคโดยประชากรส่วนใหญ่ ถือเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ เรียกว่า "Чайный гриб" ซึ่งแปลว่า "ชาเห็ด" หรือเรียกอย่างน่าเอ็นดูว่า "грибок" แปลว่า "เห็ดน้อย"
ชาวรัสเซียบริโภคเครื่องดื่มหมักหลายชนิด เรียกว่า "kvass" (คาวาส) คอมบูชา ยังถูกเรียกว่า "ชาคาวาส" อีกด้วย
ปีเดียวกันนั้น ศาสตราจารย์ชาวเยอรมัน G. Lindau ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการบริโภคคอมบูชาในรัสเซีย บทความนี้มุ่งเน้นไปที่ประโยชน์ต่อสุขภาพของคอมบูชา (อ้างอิง) ในบทความของเขากล่าวถึงคอมบูชาว่า ถูกเรียกว่า "เห็ดญี่ปุ่น" ด้วย
คอมบูชา ยังคงเป็นที่นิยมอย่างมากในรัสเซีย จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากมีการจำกัดการใช้ชาและน้ำตาลอย่างเข้มงวด การบริโภคคอมบูชาจึงลดลงอย่างมาก
คอมบูชาศักดิ์สิทธิ์ของชาวอิตาลี
ในช่วงทศวรรษ 1950 คอมบูชากลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในยุโรป โดยเฉพาะในอิตาลี ชาวอิตาลีมีความหลงใหลในคอมบูชาอย่างมาก คอมบูชาแพร่หลายไปทั่ว มีทั้งขั้นตอนปฏิบัติและความเชื่อโบราณต่างๆ รายล้อมอยู่ เหมือนกับจดหมายลูกโซ่เลยทีเดียว เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากคอมบูชา อย่างเช่น คุณต้องแบ่งscobyออกเป็น 4 ส่วนและมอบ 3 ส่วนให้กับเพื่อนสนิท พร้อมทั้งอธิบายวิธีการดูแลอย่างชัดเจน ห้ามขายหรือโยนscobyของคุณทิ้งเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น สรรพคุณทั้งหมดของมันจะหายไป คุณและคนที่ได้รับ scoby ไปจะประสบกับความโชคร้าย
คอมบูชานั้นแพร่หลายไปในทุกกลุ่มคนอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง จนทางการพยายามที่จะหยุดกระแสความคลั่งไคล้คอมบูชา เมื่อชาวเมืองเริ่มมีการขโมยน้ำศักดิ์สิทธิ์จากโบสถ์ เพื่อเติมน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงไปในคอมบูชาหวังเพิ่มประโยชน์ของคอมบูชา!
คอมบูชาในยุค 60
ไม่กี่ปีต่อมา รูดอล์ฟ สเคลนาร์ (Rudolf Sklenar) แพทย์ชาวเยอรมัน ได้ค้นพบเครื่องดื่มชนิดนี้ในรัสเซียและนำกลับไปที่บ้านเพื่อศึกษาเพิ่มเติม เขาใช้คอมบูชาเป็นยาในการรักษาโรคต่างๆ: โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ปัญหาลำไส้ โรคเก๊าต์ ฯลฯ เขาตีพิมพ์ผลการวิจัยของเขาในปี 1964
ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา มีการตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับคอมบูชาหลายเล่ม และผู้คนก็เริ่มแบ่งปันคอมบูชากันไปทั่วโลก คอมบูชาเข้ายึดครองยุโรปและได้รับการยอมรับในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในกลุ่มอัลเทอร์เนทีฟและฮิปปี้
ในยุคนั้น คอมบูชาถูกนำเสนอเป็นเครื่องดื่มมหัศจรรย์ที่สามารถป้องกันโรคมะเร็งและรักษาโรคเอดส์ได้ด้วยซ้ำ
แม้ว่าประโยชน์อันน่าอัศจรรย์เหล่านี้หลายอย่างพิสูจน์แล้วว่าเป็นเพียงเรื่องไร้สาระตามกาลเวลา แต่มีการศึกษามากมายที่บันทึกไว้เกี่ยวกับประโยชน์ต่อสุขภาพของคอมบูชา เช่นเดียวกับอาหารหมักดองชนิดอื่นๆ คอมบูชามีทั้งแบคทีเรียโพรไบโอติกส์ที่ดีและช่วยส่งเสริมระบบย่อยอาหารด้วย
การเติบโตทางการค้าของคอมบูชา
บริษัทคอมบูชา GT Kombucha ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 เป็นผู้บุกเบิกที่สหรัฐอเมริกาและทำให้คอมบูชาเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ภายในช่วงต้นทศวรรษ 2000 บริษัทคอมบูชาเชิงพาณิชย์ผุดขึ้นมากมายทั่วโลก ปัจจุบันคอมบูชาสามารถหาซื้อได้ในทั่วทุกทวีป
คอมบูชายังมีการพัฒนาไปได้อีกด้วยรสชาติของคอมบูชาไม่ได้มีแค่แบบหวานๆ หรือเปรี้ยวจัดอย่างเดียวอีกต่อไป ตอนนี้เราสามารถหาคอมบูชาได้หลากหลายรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นคอมบูชาผสมผลไม้, คอมบูชาคีโต, คอมบูชาสูตรน้ำตาลน้อย, คอมบูชาแบรนด์ท้องถิ่น และอีกมากมาย
ผู้คนยังคงดื่มคอมบูชาเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ (น้ำตาลต่ำ มีโพรไบโอติกส์ ส่วนผสมจากธรรมชาติ) และยังดื่มเป็นเครื่องดื่มทางเลือกแทนแอลกอฮอล์ กาแฟ และน้ำอัดลมอีกด้วย คอมบูชามีน้ำตาล คาเฟอีน และแอลกอฮอล์ต่ำ ดังนั้น มันจึงกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่ติดอยู่ในใจของเรา
สำหรับคนที่หลงรักคอมบูชา การใช้ชีวิตโดยไม่ได้ดื่มมันเหมือนขาดอะไรไปซักอย่าง! หลายคนหันมาทำคอมบูชาดื่มเองที่บ้านเพื่อให้มีติดบ้านไว้เสมอ ลองอ่านบทความของเราเกี่ยวกับ วิธีทำคอมบูชาโฮมเมด ได้เลย
หลักฐานอ้างอิงเรื่องราวคอมบูชา
เรื่องราวคอมบูชาที่เล่าต่อๆ กันมา หลายเรื่องยังขาดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน
ตำนานคอมบูชา
ตำนานจากจีน:
หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุด บอกย้อนไปถึง 220 ปีก่อนคริสตกาล
อ้างอิงจากหนังสือ The Big Book of Kombucha
แต่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สนับสนุนที่ชัดเจนว่าเป็นคอมบูชา
ตำนานจากญี่ปุ่น:
อ้างถึงแพทย์ชาวเกาหลีที่นำชาหมักไปรักษาจักรพรรดิ์ญี่ปุ่น
หลักฐานนี้ มาจากปี ค.ศ. 415
แต่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ชาหมักนั้นคือคอมบูชา
ตำนานจากรัสเซีย:
เล่าถึงพระที่รักษาจักรพรรดิ์ด้วยชาหมักที่มี "แมงกะพรุน"
ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สนับสนุน
การใช้ประโยชน์จากคอมบูชา
การใช้ในรัสเซีย:
มีบันทึกการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกในปี 1913 โดย A.A. Bachinskaya
อธิบายถึงการใช้คอมบูชาเพื่อสุขภาพ
แต่ประโยชน์ต่อสุขภาพที่อ้างนั้น ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
การใช้ในยุโรป:
ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษ 1950
มีการกล่าวอ้างเกี่ยวกับสรรพคุณมากมาย
แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังไม่เพียงพอ
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์
ปัจจุบันมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับคอมบูชา
พบว่าคอมบูชามี ประโยชน์ต่อสุขภาพ จริงๆ
เช่น มีโปรไบโอติกที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร
เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ
อาจช่วยป้องกันโรคบางชนิด
แต่ งานวิจัยบางส่วน ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
จำเป็นต้องมีการศึกษามากขึ้น
สรุป
เรื่องราวคอมบูชาโบราณ หลายเรื่องยังขาดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน
การใช้คอมบูชาเพื่อสุขภาพ มีมานานหลายศตวรรษ
ปัจจุบันมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุน ประโยชน์ต่อสุขภาพ ของคอมบูชา แต่ งานวิจัยบางส่วน ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และทดลองในสัตว์ทดลอง
จำเป็นต้องมีการศึกษามากขึ้น
Sources
The Big Book of Kombucha
Kombucha: Is It the New Super Drink?
Comentarios