top of page

น้ำส้มสายชู Vinegar : ประวัติศาสตร์น้ำส้มสายชู 7,000 ปี จากไวน์บูดสู่เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (ตอนที่1)


ประวัติศาสตร์น้ำส้มสายชู

ในทุกครัวเรือนทั่วโลก ไม่ว่าจะเรียบง่ายหรือหรูหรา สิ่งหนึ่งที่เรามักจะพบได้เสมอคือขวดของเหลวสีใสรสเปรี้ยวที่เรียกว่า “น้ำส้มสายชู” (Vinegar) เราใช้มันเพื่อปรุงรส, ดองผัก, หรือทำความสะอาด แต่เคยมีสักครั้งไหมที่เราหยุดมองขวดธรรมดาๆ ใบนั้นแล้วสงสัยว่า...มันมาจากไหน?


เบื้องหลังรสเปรี้ยวแหลมที่คุ้นเคย คือประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ยาวนานกว่า 7,000 ปี มันคือเรื่องราวของการค้นพบโดยบังเอิญ, การเป็นยาขนานเอกของโลกโบราณ, การเป็นเครื่องดื่มชูกำลังของกองทัพที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุด, การเป็นหัวใจของศิลปะการทำอาหารชั้นสูง และการเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในยุคปัจจุบัน


นี่คือการเดินทางของน้ำส้มสายชู ของเหลวธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ที่ได้ร่วมสร้างอารยธรรมและวัฒนธรรมอาหารของโลกมาจนถึงทุกวันนี้




จุดกำเนิดแห่งรสเปรี้ยว - เมื่อน้ำส้มสายชูคือของเหลวสารพัดประโยชน์แห่งโลกโบราณ


เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อนคริสตกาลในยุคบาบิโลน จากการค้นพบโดยบังเอิญ เมื่อไวน์ที่ทำจากผลอินทผาลัมถูกปล่อยทิ้งไว้ในไห และสัมผัสกับอากาศเป็นเวลานานเกินไป แทนที่จะเสียและต้องทิ้งไป พวกเขากลับได้ของเหลวชนิดใหม่ที่มีรสเปรี้ยวแหลมและมีกลิ่นเฉพาะตัว นี่คือการค้นพบ “การหมัก” ครั้งสำคัญที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ


คำว่า Vinegar เองก็มีรากศัพท์มาจากภาษาฝรั่งเศสโบราณ "Vin Aigre" ที่แปลตรงตัวว่า "ไวน์เปรี้ยว" ซึ่งบ่งบอกถึงจุดกำเนิดของมันได้อย่างชัดเจน


อิยิปโบราณ กับประวัติศาสตร์ น้ำส้มสายชู
ดังที่ปรากฏในภาพนี้ การปลูกและการแปรรูปองุ่นถือเป็นกิจกรรมทางการเกษตรที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่มา: สุสานของนาคท์ (Nakht), ผนังฝั่งตะวันตก, ในเมืองกูร์นา (Gourna)

ในยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยีการเก็บรักษาอาหารที่ทันสมัย น้ำส้มสายชูได้กลายเป็นนวัตกรรมที่พลิกชีวิตผู้คน มันไม่ใช่แค่เครื่องปรุงรส แต่เป็น "ของเหลวอเนกประสงค์" ที่ขาดไม่ได้:

  • การถนอมอาหาร: ในอียิปต์โบราณ มีการใช้น้ำส้มสายชูเพื่อถนอมอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ ปลา และผัก ทำให้สามารถเก็บเสบียงไว้ได้นานขึ้นหลายเดือน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดในฤดูหนาวหรือการเดินทางไกล เนื่องจากเกลือยังมีราคาแพงกว่ามากๆ น้ำส้มสายชูจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

  • ยาขนานเอกของบิดาแห่งการแพทย์: ฮิปโปเครติส (Hippocrates) บิดาแห่งการแพทย์ตะวันตก (ประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาล) ได้บันทึกถึงสรรพคุณของน้ำส้มสายชูไว้อย่างละเอียด เขาใช้มันผสมกับน้ำผึ้งเพื่อรักษาอาการไอและโรคระบบทางเดินหายใจเรียกว่า Oxymel และที่สำคัญคือใช้ในการล้างบาดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งถือเป็นยาฆ่าเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนั้น

  • เครื่องดื่มชูกำลังของกองทัพโรมัน: ทหารโรมันมีเครื่องดื่มประจำกายที่เรียกว่า "Posca" ซึ่งก็คือน้ำเปล่าที่ผสมกับน้ำส้มสายชูเล็กน้อย Posca ไม่เพียงช่วยดับกระหายและให้ความสดชื่น แต่กรดในน้ำส้มสายชูยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด ช่วยป้องกันโรคท้องร่วง ทำให้กองทัพโรมันสามารถเดินทัพไปได้ทั่วดินแดนอันกว้างใหญ่

ฮิปโปเครติส oxymel น้ำสม้สายชู ยา
ภาพพิมพ์แกะลาย: รูปปั้นครึ่งตัวของฮิปโปเครติส โดย เปาลุส ปอนติอุส (Paulus Pontius) ซึ่งสร้างตามแบบผลงานของ ปีเตอร์ เปาล์ รูเบนส์ (Peter Paul Rubens), ปี ค.ศ. 1638

จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม น้ำส้มสายชูถูกมองว่าเป็นมากกว่าอาหาร มันคือสัญลักษณ์ของความสะอาด สุขภาพ และความแข็งแกร่ง



เส้นทางคู่ขนาน - การเดินทางของน้ำส้มสายชูแห่งโลกตะวันออก


ในขณะที่โลกตะวันตกกำลังค้นพบความมหัศจรรย์ของน้ำส้มสายชูจากองุ่นและผลไม้ ที่อีกฟากหนึ่งของโลก ณ ดินแดนแห่งตะวันออก เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ไม่แพ้กันก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยมี "ข้าว" และธัญพืชเป็นหัวใจสำคัญ


จีน: ปรมาจารย์แห่งน้ำส้มสายชูหมัก


ประวัติศาสตร์ของน้ำส้มสายชูในประเทศจีนนั้นยาวนานและซับซ้อนอย่างยิ่ง มีหลักฐานย้อนกลับไปได้ถึงราชวงศ์โจว (กว่า 3,000 ปีที่แล้ว) วัฒนธรรมจีนไม่ได้มองน้ำส้มสายชูเป็นเพียงผลพลอยได้จากการทำเหล้า แต่ยกย่องให้เป็นหนึ่งใน "เจ็ดสิ่งจำเป็นในครัวเรือน" (ควบคู่ไปกับฟืน, ข้าว, น้ำมัน, เกลือ, ซอสถั่วเหลือง และชา)

น้ำส้มสายชูในประวัติศาสตร์จีน
ภาพวาด ‘ผู้ลิ้มรสน้ำส้มสายชู’ (The Vinegar Tasters) ซึ่งเป็นภาพของขงจื๊อ, พระพุทธเจ้า และเล่าจื๊อ กำลังชิมน้ำส้มสายชู และแสดงสีหน้าที่แตกต่างกันออกไปเพื่อสะท้อนถึงปรัชญาชีวิตของแต่ละท่าน

ความโดดเด่นของน้ำส้มสายชูจีนคือการใช้วัตถุดิบที่หลากหลายจากธัญพืช เช่น ข้าว, ข้าวฟ่าง, และข้าวสาลี ทำให้เกิดรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากฝั่งตะวันตกโดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น:

  • น้ำส้มสายชูเจิ้นเจียง (Zhenjiang Vinegar): หรือ "จิ๊กโฉ่ว" ที่คนไทยคุ้นเคย คือน้ำส้มสายชูดำที่ผลิตจากข้าวเหนียว มีสีเข้ม กลิ่นหอมกรุ่น และรสชาติเปรี้ยวอมหวานกลมกล่อม นิยมใช้เป็นเครื่องจิ้มเสี่ยวหลงเปาหรือเกี๊ยวซ่า

  • น้ำส้มสายชูซานซี (Shanxi Aged Vinegar): ได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งน้ำส้มสายชู" ผลิตจากข้าวฟ่างและธัญพืชอื่นๆ ผ่านการหมักและบ่มนานหลายปี (ตั้งแต่ 1 ปีจนถึงหลายสิบปี) ทำให้มีรสชาติที่ซับซ้อน เข้มข้น มีกลิ่นคล้ายควันไฟ นิยมใช้ในการปรุงอาหารที่ต้องการรสเปรี้ยวลุ่มลึก


ในศาสตร์การแพทย์แผนจีน (TCM) น้ำส้มสายชูมีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลหยินหยาง, กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด, และช่วยในการย่อยอาหาร ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการใช้เพื่อสุขภาพของโลกตะวันตกอย่างน่าทึ่ง


ญี่ปุ่น: ศิลปะแห่งความละเมียดละไม


น้ำส้มสายชูในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

วัฒนธรรมน้ำส้มสายชูได้เดินทางจากจีนสู่ญี่ปุ่นในช่วงประมาณศตวรรษที่ 4-5 และชาวญี่ปุ่นก็ได้นำมาพัฒนาต่อยอดด้วยความประณีตและใส่ใจในรายละเอียดตามแบบฉบับของตนเอง น้ำส้มสายชูของญี่ปุ่น หรือ "สุ (Su)" มีข้าวเป็นวัตถุดิบหลัก

  • โคเมะสุ (Komesu): คือน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวที่เราคุ้นเคยกันดี มีสีใสหรือเหลืองอ่อนๆ และมีรสชาติที่นุ่มนวล ไม่เปรี้ยวจัดจ้านเท่าของตะวันตก บทบาทที่สำคัญที่สุดของโคเมะสุคือการเป็นส่วนผสมหลักของ "ข้าวซูชิ" คำว่า "ซูชิ" ในอดีตหมายถึงการถนอมปลาด้วยข้าวหมักรสเปรี้ยว น้ำส้มสายชูจึงไม่ใช่แค่การปรุงรส แต่เป็นหัวใจที่ทำให้ซูชิถือกำเนิดขึ้นมาได้

  • คุโรสุ (Kurozu): คือน้ำส้มสายชูดำที่ทำจากข้าวกล้อง หมักในไหดินเผาเป็นเวลา 1-3 ปี มีสีดำสนิทและรสชาติที่เข้มข้นแต่กลมกล่อม ในญี่ปุ่น คุโรสุเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ "เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ" ที่นิยมนำมาผสมน้ำหรือน้ำผึ้งดื่มในตอนเช้า เพื่อช่วยลดความเหนื่อยล้าและบำรุงร่างกาย ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของ Apple Cider Vinegar ในโลกตะวันตก


กระบวนการทำ kurozu น้ำส้มสายชูญี่ปุ่น
ในภาพกำลังใส่เชื้อราโคจิ (kōji-kin) ลงในโถเซรามิก พร้อมกับข้าวนึ่งและน้ำ สำหรับหัวเชื้อหมักนั้นทำขึ้นด้วยมือ โดยการโรยสปอร์ของเชื้อราลงบนข้าวนึ่ง และนำไปบ่มทิ้งไว้เป็นเวลาสามวันในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิเป็นพิเศษ

ศิลปะแห่งการหมัก - จากไวน์เปรี้ยวสู่ Apple Cider Vinegar ภูมิปัญญาในขวดแก้ว


เมื่อกาลเวลาผ่านไป การผลิตน้ำส้มสายชูได้พัฒนากลายเป็นศาสตร์และศิลป์ โดยเฉพาะในยุคกลางที่ เมืองออร์เลอ็อง (Orléans) ประเทศฝรั่งเศส ที่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งน้ำส้มสายชูของโลก ที่นี่เองที่ "Orleans Method" อันเลื่องชื่อได้ถือกำเนิดขึ้น


กรรมวิธีนี้คือการหมักอย่างช้าๆ ในถังไม้โอ๊ก โดยมีหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีลักษณะเป็นแผ่นวุ้นลอยอยู่บนผิวหน้าของเหลว สิ่งนี้คือหัวใจสำคัญที่คนในวงการเรียกว่า “Mother of Vinegar” มันคือชุมชนของแบคทีเรียและยีสต์ที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อเปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้กลายเป็นกรดอะซิติก (Acetic Acid) ซึ่งเป็นกรดหลักที่ให้รสเปรี้ยวในน้ำส้มสายชู


    ผู้ผลิตน้ำส้มสายชูและเครื่องมือของพวกเขา ณ เมืองออร์เลอ็อง ปี ค.ศ. 1897 
ผู้ผลิตน้ำส้มสายชูและเครื่องมือของพวกเขา ณ เมืองออร์เลอ็อง ปี ค.ศ. 1897 

ในขณะที่ยุโรปตอนใต้มีองุ่นสำหรับทำไวน์ ในดินแดนที่หนาวเย็นกว่าอย่างยุโรปเหนือและอเมริกาเหนือ "แอปเปิล" คือราชาแห่งผลไม้ เกษตรกรนำแอปเปิลมาคั้นทำน้ำไซเดอร์ และเมื่อไซเดอร์ถูกหมักต่อไปโดยธรรมชาติ มันก็จะกลายมาเป็น "น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล" หรือ Apple Cider Vinegar (ACV)


ACV ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและ "ภูมิปัญญาชาวบ้าน (Folk Medicine)" มานานหลายร้อยปี ผู้คนเชื่อในสรรพคุณของมันและใช้เป็นยาสามัญประจำบ้านสารพัดประโยชน์ ตั้งแต่การจิบเพื่อช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการเจ็บคอ ไปจนถึงการใช้ทาผิวเพื่อรักษาอาการคันจากแมลงกัดต่อย


ความรู้เหล่านี้ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งช่วงกลางศตวรรษที่ 20 บุคคลสำคัญอย่าง พอล แบรกก์ (Paul Bragg) ผู้บุกเบิกวงการอาหารสุขภาพ ได้ทำให้ ACV ที่เป็นแบบ "ดิบ" (Raw) และ "ไม่ผ่านการกรอง" (Unfiltered) ซึ่งยังคงมี "Mother" ลอยอยู่ กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เขาเน้นย้ำว่า "Mother" คือสัญลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่ยังมีชีวิต มีจุลินทรีย์ที่ดีและเอนไซม์ที่เป็นประโยชน์อยู่ครบถ้วน


ประวัติ Pual Bragg น้ำส้มสายู ACV

น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล หรือ ไซเดอร์ มีมานานแล้วในชุมชนเกษตรกรรม แต่ยังคงเป็นแค่ของพื้นบ้าน


จุดเปลี่ยนที่ทำให้น้ำส้มสายชูแอปเปิลกลายเป็น “ดาวเด่น” คือช่วงกลางศตวรรษที่ 20

เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับบุคคล 2 คน ที่เปรียบเสมือนนักการตลาดอัจฉริยะ

  1. ดร. ดี.ซี. จาร์วิส (D.C. Jarvis): แพทย์ชาวเวอร์มอนต์ ที่เขียนหนังสือ “Folk Medicine” ในปี 1958 เขาได้รวบรวมภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับการใช้ ACV รักษาสารพัดโรค ตั้งแต่ปวดข้อไปจนถึงความดันโลหิตสูง หนังสือกกลายเป็นเบสต์เซลเลอร์ และจุดประกายความสนใจเรื่อง ACV ในวงกว้าง

  2. พอล แบรกก์ (Paul Bragg) และลูกสาว แพทริเซีย แบรกก์ (Patricia Bragg): สองพ่อลูกผู้บุกเบิกวงการอาหารสุขภาพในอเมริกา พวกเขาสร้างแบรนด์ “Bragg” ขึ้นมา โดยชูจุดขายของ ACV ว่าเป็นแบบ “ไม่ผ่านการกรอง” (Unfiltered) และ “ไม่ผ่านความร้อน” (Raw) ซึ่งยังคงมี “Mother of Vinegar” อยู่

Bragg ไม่ได้ขายแค่น้ำส้มสายชู แต่ขาย “ไลฟ์สไตล์” แห่งการมีสุขภาพดี พวกเขาจัดสัมมนา เขียนหนังสือ และทำการตลาดอย่างหนักหน่วง จนแบรนด์ Bragg กลายเป็นสัญลักษณ์ของ ACV และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก


สิ่งที่น่าสนใจคือ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในยุคที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต

เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัล กระแส ACV ก็ยิ่งโหมกระหน่ำ จากคำบอกเล่าของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์และคนดังระดับฮอลลีวูด ที่แชร์เคล็ดลับการดื่ม ACV เพื่อลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพ


น้ำส้มสายชูในโลกยุคใหม่


ปัจจุบัน น้ำส้มสายชูได้เดินทางมาถึงจุดที่น่าสนใจที่สุด มันได้กลับไปสู่รากเหง้าแห่งความหลากหลายอีกครั้ง

  • ในโลกของการทำอาหาร: เชฟระดับโลกและนักชิมต่างหลงใหลในน้ำส้มสายชูทำมือ (Artisanal Vinegar) ที่มีรสชาติซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นบัลซามิกที่บ่มนาน 25 ปี, น้ำส้มสายชูจากเชอร์รี, หรือแม้แต่น้ำส้มสายชูจากเบียร์

  • ในโลกของสุขภาพ: กระแสความนิยมใน ACV ยังคงแข็งแกร่ง และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็กำลังศึกษาถึงประโยชน์ที่เป็นไปได้ของมันอย่างจริงจัง เช่น ผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการส่งเสริมสุขภาพของลำไส้


บทสรุป


จากอุบัติเหตุในไหดินเผาของชาวบาบิโลน สู่เครื่องดื่มของทหารโรมัน จากไหหมักข้าวในราชสำนักจีน สู่ขวด "จิ๊กโฉ่ว" บนโต๊ะอาหาร จากภูมิปัญญาชาวบ้าน สู่ขวด ACV ในครัวของคนรักสุขภาพ


น้ำส้มสายชูได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามันเป็นมากกว่าแค่ของเหลวรสเปรี้ยว มันคือประวัติศาสตร์ในขวด คือพยานแห่งกาลเวลา คือบทสรุปของภูมิปัญญาที่เชื่อมโยงโลกตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน


ครั้งต่อไปที่คุณหยิบขวดน้ำส้มสายชูขึ้นมา ลองใช้เวลาสักครู่เพื่อชื่นชมการเดินทางอันน่าทึ่งของมัน และรับรู้ว่าคุณกำลังถือครองมรดกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งของมนุษยชาติไว้ในมือนั่นเอง



ขอให้มีความสุขกับการดื่มด่ำเรื่องราวในทุกหยดครับ


Sources




ความคิดเห็น


รับข้อมูลอัพเดต เทคนิคสาระน่ารู้ไปกับเรา

Thanks for submitting!

naturekombuchath@gmail.com

Tel: 088-7879-705

  • Facebook
  • Line
  • Youtube
  • TikTok
bottom of page